
เคยไหมเรียนจบอีกอ ย่ างได้ทำงานอีกอ ย่ าง ยิ่งในยุคนี้จะรอแค่ทำงานที่ตัวเองเรียน มาคงจะไม่ได้ทำหล า ยคนแอบเ สี ยดายวุฒิ วันนี้เราเลยมีข้ อคิดมาฝากเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าไม่ต้องเ สี ยดายวุฒิหรอ ก ขอแค่ทำงานหาเลี้ยงตัวเองได้ก็พอแล้ว
ตอนที่ยังเป็นเ ด็ ก นักเรียนหล า ยคน ต่างเชื่อเสมอว่า ถ้าได้ตั้งใจเรียน สอบติดคณะที่ใช่ ยิ่งมีโอกาสได้งานที่ดี เ งินเดือนที่ดี และยิ่งเป็นอาชีพ ที่ใครก็รู้จักเช่นข้าราชการ,วิศวกร นักธุรกิจยิ่งน่าภูมิใจไปใหญ่ เ พ ร า ะนอ กจาก เงิ นเดือนที่ได้สมน้ำสมเนื้อ มีจำนวน มากพอที่จะจุนเจือครอบครัวได้ มีสวัสดิการรองรับ
ให้สุขสบาย ยังเป็นอาชีพที่ถือว่ามีหน้ามีต าใครก็ต้อนรับกันหมด แต่ในโลกของความเป็นจริงแล้ว อาชีพที่มีหน้ามีต าในสังคม ไม่ได้เหมาะกับทุกคนเสมอไป และในแต่ละอาชีพเขาก็มีการกำหนดอัตรา รับสมัครแต่ละปีที่ค่อนข้างจำกัดน่ะสิ แล้วจะเรียนไปทำไม ถ้าสุดท้าย ก็ได้งานที่ไม่ตรงสาย/งานที่น้อยคนจะรู้จัก/เ งินเดือนที่ไม่ได้มากมายอะไร
คำถามนี้จะได้คำตอบที่เครียดมากเลย เ พ ร า ะมันเต็มไปด้วย ความคาดหวังที่คิดว่า เรามีทางเลือ กอยู่ไม่กี่อ ย่ างในชีวิต แต่ถ้าลองเปลี่ยนเป็นความคิด ฉันทำงานอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะตรงสาย หรือไม่ก็ต ามมันอาจดูประโยคขี้แพ้ในสายต าบางคน แต่ถ้าคิดๆดูแล้ว มันได้ความสบายใจเยอะกว่าการตั้งคำถามแบบแรก เ พ ร า ะความเป็นจริงของชีวิตคือ
1.สิ่งที่เราเรียน มาเป็นสิบเป็นร้อยกว่าวิชา มันคือ การหล่อหลอมหล า ยวิชาไม่ได้
สอนเราทางตรง แต่ให้เราค่อยๆซึมซับข้ อ ดี แต่อ ย่ างไปเอง เช่น ฝึกความอ ดทน,ฝึกความประณีต, ฝึกทักษะการเข้าสังคมในครั้งหนึ่ง ที่เราไม่เห็นประโยชน์ว่าจะใช้อะไรได้จริง พอโตขึ้นอีกหน่อย มันก็ต้องมีบ้างแหละ ที่เรานึกอะไรขึ้น มา จนต้องไปหาอ่ าน ปัดฝุ่นตำราอีกครั้ง ทุกความรู้ที่เราได้รับไม่เคยสูญเปล่า แค่เรามองไม่เห็นค่ามันเองลองนึกดูให้ดีสิ
2.แม้แต่ในคนเดียวกัน ยังมีความสามารถที่หลากหล า ยเช่น
เป็นห ม อ แต่ก็เล่นดนตรีเก่ง ทำอาหารเก่ง เป็นศิลปิน แต่ก็คำนวณเก่งขับรถเก่ง
3.ในรั้วโรงเรียน-มหาวิทย าลัย ต่อให้เราได้เรียนกับอาจารย์
ที่เก่งแค่ไหน ขอบเขตความรู้ มันก็เป็นเพียงความรู้ในรั้วเท่านั้น โลกของวัยผู้ใหญ่ที่โตขึ้น เรายังต้องรู้เห็นอีกมาก เรียนรู้กันอีกย าว ลองผิ ดลองถูกกันอีกเยอะ ดังนั้นจะมาฟั นธงว่าเรียน มาสายวิทย์ ต้องทำงานสายวิทย์ เรียนสายภาษา ต้องทำงานสายภาษา มันก็ไม่ถูกเสมอไป
4.มนุษย์ทุกคน มีความสามารถในตัวเอง แตกต่างกันไป
เราไม่จำเป็นต้องเก่งเหมือนกันหมด
5.สิ่งที่เราเก่งไม่จำเป็น ต้องออ กมาในรูปแบบวิชาชีพเช่น
ห ม อ,วิศวกร,พย าบาล มันอาจเป็นพรสวรรค์ก็ได้ เป็นความรู้อะไรก็ได้ ที่เราเอาจริงกับมัน เช่นการทำอาหาร การจัดสวน,การออ กแบบไม่อ ย่ างงั้น เราคงไม่เห็นนักธุรกิจหน้าใหม่ หล า ยคนผุดขึ้นเป็นด อ กเห็ดหรอ ก
6.มันเป็นเรื่องธรรมดา ที่มนุษย์เราจะต้องวิ่งต ามหาสิ่งที่ใช่
ค่อยๆเรียนรู้ค่อยๆปรับตัวไป สิ่งที่เรากำลังสนุกในตอนนี้ บางที อาจจะยังไม่ใช่ที่สุด สิ่งที่เราเก่งในตอนนี้ ในวันข้างหน้า มันอาจเป็นเพียงแค่ความทรงจำ เ พ ร า ะอาจมีหล า ยปัจจัย ให้คิดมากขึ้น เช่นจำเป็นต้องพับโครงการเรียนต่อเอาไว้ เ พ ร า ะเงิ นไม่พอ จำเป็นต้องทำงานหาเงิ นก่อน แล้วค่อยไปเรียนศิลปะที่เราชอบ เราต้องดูจังหวะของชีวิตด้วย ความจำเป็นของชีวิตแต่ละช่วง
7.มนุษย์เราควรมีทางเลือ กให้กับชีวิตไว้หล า ยด้านหรือมีแผนสำรอง
เพื่อไม่เป็นการปิดกั้นตัวเองจนเกินไป เช่นถ้าวุฒิที่เราเรียน มา มันหางานย าก จะยอมรึเปล่า ที่เอาวุฒิต่ำกว่านี้ หางานไปก่อน ถ้าเราไม่ได้อาชีพนี้ เรายอมได้รึเปล่า ที่จะทำอาชีพอื่น ไปพลางๆก่อน ความฝันสิ่งที่ใช่มันไม่ควรเป็น สิ่งที่ได้ดั่งใจในทันที มันเป็นเรื่องธรรมดามากๆ ที่ต้องแลกกับความเหนื่อย ความพย าย ามหล า ยเท่าตัว
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อ ย่ างใด หากจะพบว่าทำไมห ม อ บางคนถึงแต่งเพลงได้ ทำไมบางคนเรียนวิชาชีพ แต่มาเป็นศิลปิน ทำไมบางคน เรียนไม่จบแต่ประสบความสำเร็จ ถ้ายังไม่เข้าในในข้ อนี้ ลองย้อนกลับไปอ่า นข้ อ 6 อีกรอบ ขึ้นชื่อว่าความรู้เราได้รับมา
ถึงจะไม่ใช้ในทันที ก็ไม่ควรเ สี ยดาย ขึ้นชื่อว่าความฝัน ถึงจะยังไม่ใช่ในวันนี้ ใช่ว่าวันหน้าจะเป็นไปไม่ได้ มันอยู่ที่ตัวเราล้วนๆว่า รู้ตัวดีหรือไม่ว่าทำอะไรอยู่และพร้อมจะยืดหยุ่นกับทุกสถานการณ์ชีวิตรึเปล่า อ ย่ าลืมว่าโลกเรากลม และมีหล า ยมิติ ใช่ว่าจะต้องมองเพียงด้านเดียว
ที่มา ทำใจ yakrookaset